
ความหมายของโครงสร้างคอมพิวเตอร์ระบบ
ความหมายของคำว่า “ โครงสร้าง” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “Stucture” ซึ่งมีความหมายตามพจนานุกรม New
Model English – Thai Dictionary ของ So
Sethaputra ว่า
-
โครงร่าง, โครง, แผน,
รูป, ร่าง
-
อาการ ( หรือวิธี) สร้างของสิ่งใด ๆ
-
ลักษณะ, ทำนอง
-
สิ่งที่สร้างขึ้น, ตึก, โรงเรียน
คำว่า Structure” จาก Computer Dictionary ของ Microsoft Press Second Edition ให้ ความหมายไว้ว่า Structure : The design and composition of a program, including program flow, hierarchy, and modularity; also, a collection of dataelements ซึ่งแปลว่า การออกแบบและส่วนประกอบของโปรแกรม รวมถึงแผนภูมิไหลขอโปรแกรม (Program Flow Chart), ลำดับขั้นตอนและส่วนประกอบ, และมีความหมายถึงการรวมกันของข้อมูลด้วยพจนานุกรม “Modern American Dictionary” ให้ความหมายของคำว่า Structure ได้ดังนี้
คำว่า Structure” จาก Computer Dictionary ของ Microsoft Press Second Edition ให้ ความหมายไว้ว่า Structure : The design and composition of a program, including program flow, hierarchy, and modularity; also, a collection of dataelements ซึ่งแปลว่า การออกแบบและส่วนประกอบของโปรแกรม รวมถึงแผนภูมิไหลขอโปรแกรม (Program Flow Chart), ลำดับขั้นตอนและส่วนประกอบ, และมีความหมายถึงการรวมกันของข้อมูลด้วยพจนานุกรม “Modern American Dictionary” ให้ความหมายของคำว่า Structure ได้ดังนี้
- Mode
of Building of Arrangement of Parts.
- Something
Constructed.
- Complex
System
คำว่า
โครงสร้างในภาษาไทย มาจากคำว่า โครง + สร้าง
คำว่า โครง หมายถึง โครงร่าง, เค้าโครง
หรือโครงสำหรับใช้ในการสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น โครงที่ใช้ในการสร้างอาคาร,
โครงที่ใช้ในการสร้างโต๊ะ เก้าอี้, โครงกระดูกของคน
ของสัตว์, ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา
หรืออีกความหมายหนึ่งจะหมายถึงชิ้นส่วนที่สำคัญที่ใช้เป็นโครสำหรับการสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาก็ได้ส่วนคำว่า
สร้าง หมายถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นผลสำเร็จออกมาจากความหมายดังกล่าวข้างต้นพอจะกล่าวโดยสรุปได้ว่า
โครงสร้างคอมพิวเตอร์ คือ ส่วนประกอบที่สำคัญของคอมพิวเตอร์นั่นเอง
แต่อะไรคือส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์
โครงสร้างคอมพิวเตอร์มีความสำคัญต่อการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์อย่างไร
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างโดยองค์ประกอบสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
ในการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์
ถ้าเราได้ศึกษาถึงโครงสร้างของคอมพิวเตอร์โดยละเอียดแล้ว
จะทำให้เรารู้ถึงความสำคัญและความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์
อย่างน้อยจะทำให้เรียนมีความสามารถดังนี้
-
ออกแบบสร้าง
หรือบอกส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการใช้
หรือออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับงานที่ต้องการได้
-
สามารถเลือกซื้อหรือเลือกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับงานได้
-
สามารถประกอบหรือปรับปรุง (Up Grade) เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยหรือเหมาะกับการใช้งาน
-
สามารถบอกหรือซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขัดข้องด้วยตัวเองได้
โครงสร้างคอมพิวเตอร์
คือส่วนประกอบใดของคอมพิวเตอร์
ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะหมายถึงสิ่งสำคัญ 2 ประการด้วยกัน คือ
-
ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ที่นำมาประกอบกันขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
เช่น ซีพียู จอมอนิเตอร์ว่าจะต้องมีอะไรบ้าง
และแต่ละชิ้นนั้นมีหน้าที่ในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างไร วงจรการทำงานของอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนนั้น ๆ เพราะการทำงานของชิ้นส่วนต่าง ๆ
หรือของอุปกรณ์ต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับวงจร ถ้าไม่มีวงจรอุปกรณ์นั้นจะทำงานไม่ได้
หรือถ้าวงจรของอุปกรณ์นั้นเกิดชำรุดเสียหาย
อุปกรณ์นั้นก็จะทำงานไม่ได้หรือทำงานผิดพลาดขึ้น

ความหมายของอ
เครื่องคอมพิวเตอร์
ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์
และระบบการทำวานของเครื่องคอมพิวเตอร์
ความหมายของคำว่า “ คอมพิวเตอร์” “ ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์” และ “ ระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์” ดังนั้น
จะต้องทำความเข้าใจใน 3 เครื่องที่สำคัญนี้ก่อน คือ -
คำว่า “ คอมพิวเตอร์” ภาษาอังกฤษ
เรียกว่า Computer ซึ่งมาจากคำว่าCompute แปลว่า “ คำนวณ” และคำว่า “Computer” ก็แปลว่า “ เครื่องคำนวณ” นั่นเอง
ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ของผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ในครั้งแรกก็เพื่อใช้ในการคำนวณ
หลักการสำคัญในการทำงานของคอมพิวเตอร์ จะเรียกว่า “ การโปรเซส
(Process)” ซึ่งเป็นวงจรที่มีหน้าที่สั่งการและควบคุมการทำงานของวงจรการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกวงจรให้ทำงานตามความต้องกมารของโปรแกรมที่ได้กำหนดไว้
ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงวงจรโปรเซสเซอร์ ให้อยู่ในรูปของวงจรรวม ที่เรียกว่า
วงจรไอซี (IC : Integrated Circuit) หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า
“ ซีพียู (CPU : Central Processing Unit)” ความหมายของ “ คอมพิวเตอร์” หรือเครื่องคอมพิวเตอร์
จะหมายถึงตัวProcessor หรือตัว CPU นั่นเอง ซึ่งจะไม่รวมอุปกรณ์เครื่องพ่วงอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย -
คำว่า “ ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์” หมายถึง “ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์” ประกอบกับอุปกรณ์ทำงานต่าง ๆ ของเครื่องที่เรียกว่า
เครื่องพ่วงหรืออุปกรณ์พ่วง (Peripheral)ต่าง ๆ ที่
ประกอบกันเข้าเป็นระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer System) ดังนั้น คำว่าระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงหมายถึง
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ -
อุปกรณ์เครื่องพ่วงที่ใช้เป็นอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า ที่เรียกว่า Input
Unit เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ สแกนเนอร์ เป็นต้น -
ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือซีพียู ซึ่งมีหน้าที่สั่งการ
และควบคุมการทำงานของวงจรทางด้านนำข้อมูลเข้า (Input Devices) และอุปกรณ์นำข้อมูลออก (Output Devices) -
อุปกรณ์เครื่องพ่วงที่ใช้เป็นอุปกรณ์นำข้อมูลออก ที่เรียกว่า Output
Unit เช่น Printer และจอมอนิเตอร์
เป็นต้น
อุปกรณ์เครื่องพ่วงทุกชิ้นไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางด้านนำข้อมูลเข้า หรือนำข้อมูลออก เป็นอุปกรณ์อิสระที่สามารถทำงานด้วยตัวของตัวเอง และมีลักษณะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถแยกหรือนำมาประกอบกันได้ เรียกว่า โมดูล (Module) ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถที่จะนำชิ้นส่วนใด ๆ ตามที่ต้องการ จึงเรียกระบบคอมพิวเตอร์ว่าเป็นระบบโมดูลา (Modular System) ทำให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับประโยชน์อย่างน้อย ดังนี้
- ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเลือกใช้อุปกรณ์อะไรเป็นอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า และนำข้อมูลออก ประกอบเป็นระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ตามความต้องการที่เหมาะสมกับงานและเงินของตนเอง
- เป็นการประหยัดเวลาในการสร้างหรือประกอบระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอุปกรณ์ทุกชิ้นเป็นโมดูล (Module)
- เป็นการประหยัดเงิน และค่าใช้จ่ายในการประกอบเป็นระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะใช้แต่อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงานเท่านั้น
- เป็นการสะดวกและง่ายในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในกรณีอุปกรณ์ชำรุด หรือเสีย หรือในกรณีที่ต้องการเพิ่มหรือลด (Upgrade) เช่น การเพิ่มหน่วยความจำ การเพิ่มความจุของดิสก์ เป็นต้น
- ระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ หมายถึง หลักและวิธีการทำงานในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่หลายวิธีการด้วยกัน เมื่อกล่าวโดยสรุป วิธีการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แบ่งออกได้เป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
- การทำงานในลักษณะของแบ็ตโปรเซสซิง (Batch Processing) ซึ่งอาจจะทำครั้งละหนึ่งงาน หรือครั้งละหลายงานพร้อมกันก็ได้ เรียกว่า การทำงานเป็นแบบมัลติโปรแกรมมิง (Multi Programming) วิธีนี้เป็นวิธีการที่รวบรวมงานทั้งหมดที่จะทำในครั้งเดียวกัน เอามาทำพร้อมกัน โปรเซสพร้อมกัน และได้ผลของงานพร้อมกัน
- การทำงานในลักษณะออนไลน์ (On-line Processing) เป็นการทำงานในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ไม่จำเป็นต้องรวบรวมงานเพื่อทำเป็นกลุ่ม เช่น การฝาก – ถอนเงินจากเครื่องคอมพิวเตอร์ออนไลน์ (ATM) การอัพเดตบัญชีด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของธนาคารโดยเจ้าของบัญชีเป็นผู้ทำงานเอง
การเลือกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงาน
เครื่องคอมพิวเตอร์ 4 ประเภทที่เหมาะกับการทำงาน
- ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supper Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง และมีอัตราการทำงานสูง ส่วนมากจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานชนิดพิเศษ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม เครือข่ายสายการบิน
- เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Main Frame Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่รองลงมาจากซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ส่วนมากจะใช้กับงานขนาดใหญ่ เช่น เครื่องของสำนักงานสถิติแห่งชาติสำหรับการประมวลผลสำมะโนต่าง ๆ เป็นต้น เครื่องแมนเฟรมยังแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอีก 4 ประเภทด้วยกัน คือ
- เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Main Frame Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่รองลงมาจากซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ส่วนมากจะใช้กับงานขนาดใหญ่ เช่น เครื่องของสำนักงานสถิติแห่งชาติสำหรับการประมวลผลสำมะโนต่าง ๆ เป็นต้น เครื่องแมนเฟรมยังแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอีก 4 ประเภทด้วยกัน คือ
- เครื่องสำหรับงานด้านวิทยาศาสตร์ แต่จะมีการประมวลผลหรือการคำนวณมากการทำงานของเครื่องจะหนักไปในการใช้ซีพียูมาก ซึ่งเรียกว่า การทำงานแบบ CPU Bound
- เครื่องสำหรับงานด้านธุรกิจ (Business Purposed Computer) เหมาะสำหรับการประมวลผลที่มีข้อมูลนำเข้า และข้อมูลนำออกเป็นจำนวนมากแต่ต้องการใช้ซีพียูน้อย เช่น
- งานทางด้านประมวลผลสถิติ หรืองานทางด้านธุรกิจการเงิน การบัญชี และมักจะเรียกงานประเภทนี้ว่า เป็นงาน I/O Bound
- เครื่อง คอมพิวเตอร์สำหรับงานเฉพาะกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาสำหรับการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับงานแพทย์โดยเฉพาะ
- เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับงานทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้ได้กับงานทั่ว ๆ ไป ส่วนมากจะเป้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอุปกรณ์ทางด้านอินพุตและเอาท์พุตจำนวนมาก มีหน่วยความจำค่อนข้างมากและมีซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูง
-เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) เป็นเครื่อง คอมพิวเตอร์ชนิดเมนเฟรมแต่เป็นขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการช่วยเครื่องเมนเฟรมทำงานต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นเครื่องรับ / ส่งข้อมูลในระบบออนไลน์ของเครื่องเมนเฟรม
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC : Personal Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์มาก แต่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ซึ่งสามารถทำงานที่มีขนาดใหญ่ ๆ แทนเครื่องเมนเฟรมได้ เป็นเครื่องที่มีความเร็วในการทำงานสูงแต่มีราคาถูกกว่าเครื่องเมนเฟรมมาก
เมนบอร์ด (Main Board)
เมนบอร์ดระบบเป็นแผนวงจรขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในกล่องที่เรียกว่า เคส
(CASE) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด หลายรูปแบบ ซึ่งผู้นำมาประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสมกับซีพียูแต่ละรุ่น เช่น
เมนบอร์ดที่ใช้กับซีพียูแบบซ็อกเก็ต (Socket) เป็นเมนบอร์ดที่ใช้กับซีพียูที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตรัสซึ่งมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น
• Socket 7
• Socket 370
• Socket A
• Socket 423
เมนบอร์ดแบบ Slot เป็นเมนบอร์ดที่ใช้กับซีพียูที่อยู่ในรูปสล๊อต คือ มีลักษณะเป็นแผงเสียบ (Card) ขนาดยาวซึ่งมีหลายชนิด เช่น
• Slot 1
• Slot A
หน่วยประมวลผลกลาง (Center Processing Unit)
CPU หรือ Central Processing Unit เป็นวงจรที่มีหน้าที่สั่งการ และควบคุมการทำงานของวงจรทุกวงจรในเครื่องคอมพิวเตอร์ตามความต้องการของโปรแกรม คือ
• หน้าที่ที่สำคัญของซีพียู คือ
• สั่งและควบคุมการทำงานของวงจรทุกวงจรตามความต้องการของโปรแกรม
• สั่งและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ของระบบเครื่องตามความต้องการของโปรแกรม
• ควบคุมการทำงานของระบบเครื่องตามความต้องการของโปรแกรมระบบปฏิบัติการของเครื่อง
• เป็นผู้ทำหน้าที่ในการ Load, Decode และ Execute โปรแกรมทุกโปรแกรมในการทำงานของโปรแกรม
ส่วนประกอบสำคัญของซีพียู มี 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
ส่วนประกอบสำคัญของซีพียู มี 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
• CPU Control Unit
• Logical Unit
• Arithmetical Unit
อุปกรณ์การเชื่อมต่อและจุดเชื่อมต่อ (System Slot and socket)
เป็นอุปกรณ์หรือจุดสำหรับการเชื่อมกับอุปกรณ์ภายนอกเพื่อใช้ในการทำงานร่วมเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในขณะนี้ คือ
สล็อตและซ็อกเก็ต (System Slot and Socket) เป็นอุปกรณ์สำหรับการติดตั้งซีพียูและแผงวงจรที่เรียกว่า Card ต่าง ๆ เช่น Display Card, Printer Card เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนที่ติดอยู่กับเมนบอร์ด ผู้ซื้อเครื่องควรจะทราบรายละเอียดก่อนการตัดสินใจซื้อเครื่อง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการอัพเกรดเครื่องในภายหลังเนื่องจากชิ้นส่วนนี้จะเป็นตัวจำกัดการอัพเกรดของเครื่องอย่างหนึ่ง
• อุปกรณ์การเชื่อมต่อ (Connector)
• จุดเชื่อมต่อ (Port)
• พอร์ตที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สำคัญมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน
• พอร์ต SCSI
• พอร์ตยูเอสบี ( USB Port )
• พอร์ตเอจีพี
• พอร์ตพีเอสทู
หน่วยถ่ายทอดข้อมูล (BUS)
เป็นหน่วยวงจรที่ทำหน้าที่ในการถ่ายโอนข้อมูล หรือการส่งผ่านข้อมูล(Data Transferring) จากอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกเครื่องไปยังหน่วยประมวลผล กลาง (CPU) หรือตรงกันข้าม คือ การถ่ายทอดข้อมูลจากซีพียูไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกเครื่อง เช่น การถ่ายทอดข้อมูลจากดิสก์ไปยังซีพียู หรือถ่ายทอดข้อมูลจากซีพียูไปยังเครื่องพิมพ์ เป็นต้น
เส้นทางผ่านข้อมูล ในการถ่ายทอดข้อมูล (Data Transferring) ต้องใช้อุปกรณ์ที่ประกอบด้วยกลุ่มของสายไฟฟ้าจำนวนตั้งแต่หนึ่งเส้นขึ้นไป เรียกว่า BUS แบ่งเป็น3 ประเภทดังที่กล่าวไว้บ้างแล้วในบทที่ 2 คือ
• Address Bus
• Control Bus
• Data Bus
ความเร็วของระบบบัส (BUS Speed)
ประเภทของบัส แบ่งตามสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี
• ไอซ่าบัส (ISA : Industry Standard Architecture) เป็นบัสรุ่นแรก แบบ 8 บิต ต่อมาได้ขยายเป็น 16 บิต มีความเร็วตั้งแต่ 6 ถึง 12 MHz ต่อวินาที แต่ยังคงใช้อยู่ในเมนบอร์ดปัจจุบันส่วนมาก
• บัสแบบไมโครแชลแนล (MCA : Micro Channel) เป็นบัสแบบ 32 บิต ที่บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องระบบ 32 บิต แต่ไม่มีผู้นิยมใช้กันมากนักเพราะจะต้องซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทไอบีเอ็ม ทำให้ต้นทุนในการสร้างเครื่องมือราคาสูงขึ้น
• บัสอีซา (EISA : Extended ISA) เป็นบัสแบบ 32 บิต เหมือนเอ็มซีเอ (MCA)แต่สามารถทำงานที่ ความเร็ว 20 MHz ต่อวินาที และสามารถใช้ได้กับการ์ดเพิ่มขยายชนิด 8 บิต และ 16 บิต ได้ด้วย ส่วนข้อเสียของบัสชนิดนี้ คือ ความช้าในการทำงาน โดยจำกัดที่ความเร็วแค่ 20 MHz เท่านั้น
• บัสวีซา (Vesa : Video Electronic Standard Association) เป็นบัสที่สร้างตามมาตรฐานความต้องการของกลุ่มผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นบัสแบบ 32 บิต ที่มีความเร็วในการทำงานสูง คือ สามารถทำงานได้ที่ความถี่ 33 ถึง 40 MHz ทำให้ได้ความเร็วในการับ / ส่งข้อมูลได้ถึง 133 ถึง 148 เมกะไบต์ต่อวินาที
• บัสพีซีไอ (PCI : Peripheral Components Interconnect) ของบริษัทอินเทลเป็นระบบบัสแบบ 64 บิต มีความเร็วที่ 100 – 133 MHz ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ถึง264 เมกะไบต์ต่อวินาที
• บัสเอจีพี (AGP : Accelerated Graphic Port ) เป็นบัสที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงมาตรฐานของ PCI แต่มีความเร็วกว่า CPI ถึง 4 เท่า คือ มีความเร็วถึง 533 เมกะบิตต่อวินาที
• บัส PCMCIA ย่อมาจาก Personal Compputer Memory Card International Association) เพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์แบบโน๊ตบุ๊ค ความเร็วบัสสูงสุดไม่เกิน 33 MHzมีบัสแอดเดรสแบบ 26 บิต ดังนั้น จึงสามารถอ้างหน่วยความจำได้เพียง 64เมกะไบต์เท่านั้น
วงจรชิปเซ็ต (Chip Set)
• วงจรที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าวงจรซีพียูวงจรหนึ่ง ที่คนมักไม่ค่อยพูดถึงกัน คือ วงจรชิปเซ็ต (Chip Set) ซึ่งเป็นวงจรภายในเมนบอร์ด คือ เป็นวงจรที่ติดอยู่กับเมนบอร์ดที่ช่วยซีพียูในการเชื่อมโยงการทำงานของซีพียูกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเมนบอร์ด เช่น การติดต่อซีพียูกับพอร์ตและการ์ดต่าง ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น